วันพฤหัสบดีที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556



ฉันชื่อแต๋ม ซึ่งชื่อเล่นจริงๆ แบบเต็มที่พ่อแม่ตั้งให้คือ ต๋อมแต๋ม  ถ้าเรียกตอนเด็กๆ ฉันว่าดูน่ารักดี แต่ตอนนี้รู้สึกว่าตัวเองเริ่มแก่แล้วมันออกจะดูเคอะเขินไปหน่อยถ้าจะเรียกเต็มๆ แบบนั้น ส่วนชื่อจริงคือ นางสาวพรรณนภา ประคองกลาง  ตอนแรกแม่บอกว่าตาตั้งให้ชื่อว่า  แพรวพราว   ฉันรู้สึกดีใจมากที่ตอนนี้ไม่ได้เลือกชื่อนั้น ถ้าชื่อแพรวพราว จริงๆ คงจะไม่เข้ากับหน้าฉันซักเท่าไร  



บ้านฉันอยู่ที่จังหวัดบุรีรัมย์ อำเภอหนองกี่ บ้านเลขที่ 111/1 หมู่ 1 (ฉันคิดว่ามันเป็นตัวเลขที่เจ๋งมาก )  มีบางคนที่ถามฉันว่า ไม่ใช่บ้านอยู่ที่โคราชหรอ ฉันอยากบอกว่า ฉันรู้สึกว่ามันเป็นเหมือนบ้านหลังที่สองของฉันเลยหละ เพราะฉันใช้ชีวิตอยู่ที่ถึงโคราช 8 ปีฉันอยู่หอตั้งแต่เด็ก ตั้งแต่อายุสิบขวบ จนถึงก่อนจะมาเรียนที่นี่ ฉันอยู่ในครอบครัวที่ค่อนข้างจะเข้มนิดหน่อยเนื่องจากพ่อแม่ รวมถึงญาติรับราชการทั้งหมด มีพี่ชายหนึ่งคน ชื่อ ตอง อายุห่างกันหกปี แล้วเราก็แยกกันเรียนตั้งแต่เด็กเลยอาจจะไม่ค่อยสนิทกันเท่าไร

            
   ชีวิตในวัยเด็กของฉัน ฉันคิดว่าฉันเป็นเด็กเรียบร้อยมาตลอดจนเพื่อนๆ และคุณครูที่เคยสอนมาเล่าให้ฟัง ฉันจึงเริ่มประติดประต่อความทรงจำกลับคืนมา แม่บอกว่าตอนแปดเดือนฉันเคยนอนในตู้อบ เพราะว่าเป็นโรคหอบหืด แล้วจากนั้นมาฉันก็มีโรคประจำตัวมาตลอดคือเป็นภูมิแพ้ ซึ่งบ้านฉันเป็นกันทั้งบ้านก็เลยไม่มีสัตว์เลี้ยงในบ้านเลย จนบางทีฉันก็รู้สึกผิดเหมือนกันที่ฉันดูเป็นคนไม่รักสัตว์เลย  ตอนเด็กๆ เราจะชอบล้อชื่อพ่อแม่เพื่อนเล่น แต่ไม่มีใครกล้าล้อชื่อพ่อชื่อแม่ฉันเพราะท่านเป็นคุณครูในโรงเรียน ฉันรู้สึกภูมิใจมาก  พอตอน ป.5 ฉันก็ย้ายเข้ามาเรียนในโรงเรียนมารีย์วิทยา จังหวัดนครราชสีมา ซึ่งทำให้ ฉันได้เจอกับนางสาวศุภรัตน์ ดอนเจดีย์ หรือน้อยหน่าในปัจจุบันนี่เอง  เรื่องพีคสุดในชีวิตประถม  คือ  ฉันเคยทะเลาะกับรุ่นพี่ที่เป็นสาวประเภทสองที่โรงเรียนนี้เอง คือการตะโกนข้ามตึกเรียนซึ่งตึกประถมกับตึกมัธยมจะมีทางเชื่อมต่อกัน แต่ที่ฉันตะโกนคือระหว่างชั้นสามกับชั้นห้าของฝั่งมัธยม พี่เขาอยู่ม.1 ซึ่งตอนนั้นฉันอยู่ ป.6 กลับมาคิดแล้วว่ามันตลกดี ไม่รู้ว่าตอนนั้นทำไปได้ยังไงกัน 



พอเข้า ม.1 ฉันย้ายมาอยู่ที่โรงเรียนสุรนารีวิทยา ซึ่งเป็นโรงเรียนหญิงล้วนประจำจังหวัด  อยู่ที่นี่ฉันมีความสุขมากเรียนๆ โดดๆ เป็นเรื่องปกติแต่ทำกิจกรรมหัวหมุนมาก มีกิจกรรมอะไรมาทำหมด แล้วเข้าห้องเรียนสายประจำ มีครั้งหนึ่ง คุณครูสอนวิชาสังคมบอกฉันว่า ในชีวิตหนึ่งที่เคยเรียนที่โรงเรียนสุรนารี ลองดูสักครั้งไหม เข้าห้องเรียนเป็นคนแรก พอวันต่อมาในคาบเรียนวิชาสังคมเพื่อนๆ ขึ้นมาแล้วแต่ฉันขึ้นลิฟท์อยู่  เรานัดกันทุกคนยังคงไม่เข้าห้องเรียน จนกลุ่มของฉันขึ้นมาแล้วเดินไปพร้อมกัน ฉันเดินเข้าห้องไปคนแรก พร้อมกับสวัสดีคุณครู แล้วบอกว่า วันนี้หนูเข้าห้องเป็นคนแรกค่ะ ฉันรู้สึกภูมิใจมากที่ชีวิตนี้ได้เข้าห้องเรียนเป็นคนแรกในรั้งโรงเรียนสุรนารีวิทยา ตอนมอห้าฉันเคยเป็นคณะกรรมการนักเรียน ซึ่งคณะกรรมการนั่งเรียนรุ่นนี้ถือว่าแซ๊บมาก เพราะว่าทุกคนสนิทกันหมด เฮ้วมาก ไม่ค่อยมีสาระ จนรู้สึกสงสารอาจารย์ฝ่ายปกครองมากๆ ที่จะต้องรับมือกับพวกเรา ที่นี่เราจะเรียกอาจารย์ว่าแม่ กับพ่อ เพราะเราอยู่กันเหมือนครอบครัว ฉันรักโรงเรียนนี้ และรักเพื่อนที่นี่มากๆ คิดถึงมากๆ เลยตอนนี้ 

 ตอนอนุบาลสองฉันเคยวาดภาพประกวดพระมหาชนก แล้วชนะ ฉัน เลือกวาดภาพที่พระมหาชนกอยู่ในทะเล และมีนางมณีเมขลาลอยมาเพื่อช่วยพระมหาชนก นั่นเป็นภาพวาดที่ฉันภูมิใจที่สุดในชีวิตของฉันจนถึงปัจจุบัน แต่เพราะว่าเขาไม่เคยเรียกฉันไปแข่งต่ออีกเลยฉันจึงไม่กลับไปวาดรูปจนกระทั่ง ม. 3 ฉันจึงลองเรียนตอนช่วงซัมเมอร์ เริ่มแรกจากการเรียนดรออิ้ง ซึ่งยังไม่ได้คิดว่าจะมาทางนี้เลย แค่อยากวาดรูปให้สวย ณ ตอนนั้น จนพอเรียนไปเรื่อยๆ แล้วมันมีความสุขฉันก็เลยชอบ อาจเพราะมันดูไม่ยากมาก จน ม.4 เหมือนต้องเลือกความถนัดเพื่อใช้ในการติวสอบ เพราะฉันเรียนด้านวิทย์ – คณิตว่า อาจารย์เลยบอกว่า งั้นลงถาปัตย์แล้วกัน ซึ่งตอนนั้นฉันยังตัดสินใจตัวเองไม่ได้เลย พอเรียนๆ ไปก็ชอบ ทั้งสนุก ทั้งกดดัน แล้วฉันก็หยุดไปช่วงหนึ่งตอน ม.5 เพราะกิจกรรมเยอะ และที่บ้านไม่สนับสนุนที่จะให้เรียนด้านนี้เลย ที่บ้านอยากให้ฉันเรียนทันตะ เภสัช แนวนั้น ซึ่งฉันต้องอ่านหนังสือ เคมี ชีวะ ไปด้วย แล้วไปสอบเภสัชให้แม่ ซึ่งแน่นอนอยู่แล้วว่าไม่ติด วันที่ฉันมาสอบที่นี่เกิดอุบัติเหตุนิดหน่อย คือฝนตกถนนลื่น แล้วรถไถลไปชนข้างทางตรงสะพานทางลงทางด่วน แม่เลยบอกว่า สงสัยแต๋มจะสอบติดแน่เลย เพราะตอนแม่สอบบรรจุครู แม่นั่งรถไฟไปสอบ รถไฟก็ชนควายเหมือนกัน แม่ก็เลยสอบติด แล้วก็สมพรดังที่แม่อวยพร








ชีวิตมหาวิทยาลัยของฉัน ก่อนจะเข้ามาที่นี่ฉันกลัวมากว่าจะเข้ากับคนอื่นไม่ได้ เพราะใครๆ ก็บอกว่าสังคมมหาวิทยาลัยมันน่ากลัว แต่ฉันว่าที่นี่ไม่ใช่เลย ฉันอยู่ที่นี่แล้วเหมือนกับตอนที่อยู่มัธยม คือเราอยู่กันเหมือนครอบครัวจริงๆ มีทั้งพี่ เพื่อน และอาจารย์ที่ให้ความรู้สึกเป็นกันเอง ตอนปีหนึ่งฉันก็เคยท้อว่าเราฝีมือไม่ดีเลย เพื่อนๆ เก่งกันมากๆ เคยคิดหลายครั้งเหมือนกันว่าเราจะไหวไหม จะไปรอดไหม จนมาถึงตอนนี้ปีสี่แล้ว ก็คงจะถอยหลังไม่ไหวแล้วหล


ตอนที่ฉันสอบติดที่นี่ได้แล้ว มันรู้สึกเคว้งเหมือนกันว่า ฝันที่เราเคยหวังไว้ มันจบลง เราควรต้องทำยังไงต่อไป ก็ควรจะต้องหาฝันใหม่เพื่อต่อยอดเป็นแรงบันดาลใจให้กับตัวเอง มันยากเหมือนกันที่กว่าจะเข้าใจว่าจริงๆแล้วตัวเองชอบอะไร อยากทำอะไรกันแน่ เพราะสิ่งที่เราเจอ และได้เรียนรู้ไปเรื่อยๆ มันทำให้เราไขว่เขวไปได้ สิ่งที่ฉันอยากทำตอนนี้คือ เกี่ยวกับธรรมชาติ โหยหาอากาศดีๆ จนบางทีคิดว่าอยากจะเรียนแลนสเคปเพิ่มอีกตัว หรือเป็นการที่เราได้รักษาธรรมชาติไว้ให้คงอยู่ ถ้ามันพอจะช่วยโลกของเราได้บ้าง หรือการทำงานสถาปนิกชุมชน หรือที่ไหนก็ได้ที่ทำให้ได้อยู่ในอากาศที่ดีๆ บรรยากาศดีๆ อาจจะดูเป็นโลกในอุดมคติไปหน่อยสำหรับตอนนี้ แต่ไม่แน่ว่าสักสิบ หรือยี่สิบปี ฉันคงจะได้อยู่อย่างนั้น


หัวข้อทีสิสที่เลือกที่จะทำคือ คือห้องสมุดสำหรับผู้พิการทางสายตา และการได้ยิน ที่อยากทำเพราะชอบการสื่อสาร สนทนาได้หลายภาษา อยากจะพูด อยากจะคุย อยากจะเข้าใจสิ่งที่คนอื่นคิด หรือเล่าถ่ายทอดสิ่งต่างๆ ที่เรามีให้คนอื่นได้ฟัง แล้วถ้าเขาไม่สามารถเล่าหรือรับรู้เรื่องราวต่างๆ ได้ เราควรจะสามารถทำอะไรได้บ้างเพื่อเข้าใจเขา  หรือบางคนสามารถรับรู้ทุกอย่างได้ปกติ แต่อยากจะสื่อสารโดยไม่ใช้ภาษาพูดดูบ้าง หรือการพูดอะไรบางอย่างมันยากเกินกว่าจะเข้าใจ มันดูน่าสนุกมากๆ ที่จะลองศึกษาวิธีการใหม่ๆ ที่คนเราจะใช้ในการติดต่อสื่อสารและทำความเข้าใจกัน มีคนเคยพูดไว้ว่า เราสามารถเรียนรู้และเข้าใจ ชีวิต จิตใจ หรือนิสัยของใคร ได้จากเพลงที่ชอบฟัง หนังที่ชอบดู  หนังสือที่ชอบอ่าน และที่สำคัญที่สุด คือบทสนทนา พวกเขาจะทำอย่างไร หากไม่อาจจะเรียนรู้สิ่งใหม่หรือ เล่าสิ่งที่อยากจะให้เราเข้าใจให้เราฟัง



ปิดเทอมที่ผ่านมาฉันอยู่ที่บ้านตลอด เหมือนเป็นการพักทุกสิ่ง ทุกอย่าง พักผ่อนอย่างสบายใจ อยู่กับครอบครัวไม่มีหมา ไม่มีแมว ไม่มีต้นไม้ เพราะตัดออกหมดเลย (  รู้สึกเสียใจ ) ได้ทำกับข้าวกินเอง ได้กินข้าวที่บ้านนี่คือความสุขสุดยอดแล้ว หลังจากที่ก่อนหน้านั้นกินแต่อาหารเซเว่น อาหารกระป๋อง คิดถึงอาหารอีสานบ้านเฮามากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ๆ ฉันชอบมากๆ คิดถึงรสชาติอาหารแบบเดิมๆ ต้มแซบ ลาบ แจ่วฮ้อน ฉันชอบมากๆ เลย  <3  <3


ส่วนปิดเทอมที่จะถึงนี้ฉันอยากไปฝึกงานต่างตังหวัด ไม่ก็ไปฝึกต่างประเทศ เพราะฉันชอบการเปลี่ยนบรรยากาศ มันเหมือนทำให้เราหลุดออกจากอะไรเดิมๆ อยากไปฝึกงานเหมือนไปเที่ยว ไปเจอสิ่งใหม่ๆ เหมือนไปพักผ่อน และหาประสบการณ์ให้ชีวิตที่ไม่เคยเจอ ฉันไม่ค่อยได้เที่ยวไปไหนไกลๆ เท่าไรนัก ถ้าได้เจอสิ่งใหม่ๆ มันคงเป็นเหมือนการเติมเชื้อพลังงาน พลังใจ ให้ชีวิตสู้ต่อไปได้อย่างสนุก และมีความสุข









ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น